โบวี่ : สโรชา เย็นใส พบสัจธรรมชีวิตจาก...'เชิงตะกอน'
เรื่อง : สุทธิคุณ กองทอง ภาพ : กนต์ธีร์ เหลืองอร่าม
โบวี่ : สโรชา เย็นใส พบสัจธรรมชีวิตจาก...'เชิงตะกอน'
"โบวี่" สโรชา เย็นใส นักร้องดังสังกัดบริษัท อาร์.เอส.โปรโมชั่น จำกัด (มหาชน) ชื่อนี้อาจจะรู้จักกันเฉพาะในหมู่วัยรุ่นเท่านั้น แต่ถ้าพูดถึงเพลง "ยอมจำนนฟ้าดิน" จากอัลบั้มชุดใหม่ล่าสุด "แรงบันดาลใจ" ซึ่งมีส่วนหนึ่งของเนื้อร้องที่ว่า
"อยากต่อว่าฟ้าดิน ที่ให้เราพบกัน แต่ไม่ยอมจับเราคู่กัน ฟ้าดินจงใจแกล้งเรา เธอว่าหรือเปล่า ทำไมนะต้องห้ามรักกัน ความเหมาะสมนะหรือที่ยืนยาว ทิ้งให้ใจมันค้าน สุดท้ายต้องยอมจำนน..." หลายคนน่าจะร้องคลอตามได้ เพราะเป็นเพลงที่ถูกเปิดทางคลื่นสถานีมากที่สุด ณ เวลานี้
โบวี่ เล่าว่า เมื่อปีที่ผ่านมา ได้กลับบ้านไปบวช ณ อุโบสถวัดลัฏฐิวนาราม หมู่ ๘ บ้านโคกโตนด ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต ก็ได้นั่งสมาธิ ส่งผลให้ได้ความเย็นในจิตใจ ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นคนอารมณ์ร้อน เรียกได้ว่า การบวชครั้งนั้นสามารถนำหลักธรรมที่ได้ศึกษามาปรับใช้ในชีวิตการเป็นนักร้อง และการดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะหลักธรรมที่ว่า บางครั้งไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเราดีหรือไม่ดี เราเองก็ต้องยิ้มสู้รับกับความเป็นจริงของสิ่งเหล่านั้นให้ได้ เป็นการประมาณของความพอดีให้กับชีวิต
ระหว่างที่ครองผ้าเหลืองอยู่นั้น ได้ร่วมสวดงานฌาปนกิจ ตรงจุดนี้จะเห็นหลักธรรมขึ้นมาทันที เนื่องจากได้เห็นทุกขั้นตอนของการนำศพที่ผ่านพิธีกรรมทางศาสนา เรียบร้อยแล้ว ทางสัปเหร่อก็จะจุดไฟในเตาเผา ภาพที่เห็นไฟที่กำลังเผาร่างที่ไร้วิญญาณ บอกตามตรงว่า ขาสั่นมาก แม้ว่าจะอยู่ในผ้าเหลืองก็ตาม ในใจฉุกคิดขึ้นมาทันทีว่า
"คนเราทุกคนที่เกิดมาก็ต้องมีจุดจบแบบนี้เหมือนกันหมด จะรวย จะมี จะดี จะจน จะเลวเพียงใด สุดท้ายก็กลายเป็นศพที่ต้องร่วมสวดศาลา และเผาเมรุเดียวกัน" หลังจากสึกออกมาแล้ว ภาพเหล่านี้ยังฝังลึกอยู่ในความทรงจำ จนทุกวันนี้กลับมาครุ่นคิดแวบหนึ่งก็กลัวตายเหมือนกัน บางครั้งก็ปลงได้ บางครั้งก็ปลงไม่ค่อยได้ แต่พอคิดได้ก็ช่างมันเถอะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด
"ผมเห็นร่างที่ถูกเผาไปช่วงเวลาไม่นาน เหมือนว่าโลงมันจะแตก ผมก็เห็นคอขาดหลุดออกจากตัว แล้วก็เห็นเลือดพุ่งออกจากคอเหมือนน้ำพุเลย เห็นแล้วมันก็เสียวๆ นึกในใจว่าคนเราต้องถูกเผาถึงขนาดนี้เลยหรือ มันก็ทำให้เรากลัวไปโดยปริยาย" โบวี่ เล่าถึงการเผาศพด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
สำหรับพระเครื่องที่ โบวี่ แขวนติดตัวเป็นประจำ ส่วนใหญ่จะเป็นพระหลวงปู่ทวด ซึ่งเป็นพระที่ได้มาจากตาทวด (ตาของแม่) ซึ่งได้ติดตามอ่านเรื่องราวของหลวงปู่ทวดมานาน ตามประวัติที่อ่านจะพบว่า ท่านได้โดยสารเรือสำเภาของนายอินเดินทางไปกรุงศรีอยุธยาเพื่อศึกษา พระธรรม ขณะเดินทางเกิดคลื่นลมทะเลปั่นป่วน เรือไม่สามารถแล่น ฝ่าคลื่นลมไปได้ ต้องทอดสมออยู่ถึงสามวันสามคืน
ประกอบกับเสบียงอาหารและน้ำก็หมด นายสำเภาจึงตั้งข้อสงสัยว่า การที่เกิดอาเพศในครั้งนี้ เป็นเพราะหลวงปู่ทวด จึงได้นิมนต์ให้ท่านลงเรือเล็ก เพื่อปล่อยเกาะ ขณะที่นั่งอยู่ในเรือเล็กนั้น ท่านได้ห้อยเท้าซ้ายแช่ลงไปในทะเล ท่านบอกให้ลูกเรือตักน้ำขึ้นมาดื่ม ก็พบว่าเป็นน้ำจืดสนิท ลูกเรือจึงได้ช่วยกันตักไว้จนเพียงพอ นายสำเภาจึงนิมนต์ท่านให้ขึ้นสำเภา และขอขมาโทษ อ่านประวัติตรงนี้แล้วก็มั่นใจในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ทวดเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ ก็ยังมีพระเครื่ององค์อื่นที่พกติดตัวคือ พระพิฆเนศวร เทพผู้เป็นเลิศทางศิลปะวิทยาการทุกแขนง และพ่อแก่ พระฤาษี (พ่อแก่) บูชาเพื่อแสดงถึงความกตัญญูรู้คุณครูอาจารย์ ส่วนใหญ่ที่แขวนพระติดตัวก็เพื่อต้องการความสบายใจมากกว่า ในใจลึกๆ แล้วก็เชื่อว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเรื่องเร้นลับบางอย่างที่เรามองไม่เห็นนั้น มีอยู่จริงในโลกเราใบนี้ ใครไม่เชื่อก็อย่าไปลบหลู่ เพราะสิ่งเร้นลับที่ว่านี้ เป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น แต่เราสามารถสัมผัสได้
ส่วนเหตุการณ์เฉียดตายนั้น โบวี่ บอกว่า มีหลายเหตุการณ์จากอุบัติเหตุที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด โดยอุบัติเหตุเกิดขึ้นถือว่าเป็นครั้งร้ายแรงที่สุด เมื่อประมาณ ๔ ปีที่ผ่านมา ระหว่างขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้านที่ จ.ภูเก็ต ขี่ไปตามถนนเรื่อยๆ ทันใดนั้นเองก็มีรถมาตัดแบบกะทันหัน คาดว่าจะเลี้ยวเข้าซอยข้างหน้า ทำให้ทุกคนกระเด็นออกจากรถด้วยความแรง เพื่อนที่นั่งมาด้วยอีกสองคนมีทั้งนอนสลบไม่รู้ตัว ส่วนอีกคนถลอกตามขาหลายแห่ง ขณะที่ตนเองอาการค่อนข้างหนัก เพราะเดินไม่ได้อยู่ประมาณ ๓ เดือน
"ผมรอดตายมาได้ ผมก็เชื่อว่า พระหลวงปู่ทวดที่แขวนติดตัวน่าจะช่วยให้ผมแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุครั้งนั้น ผมเป็นคนเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ใครจะไม่เชื่อก็ไม่รู้ แต่ที่เราได้ประสบมากับตัวเอง มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ ผมมีความรู้สึกว่าผมสัมผัสกับมันได้ เช่น ฝันถึงสิ่งเร้นลับเหล่านี้มันต่อเนื่องเมื่อเรารู้สึกตัว วันนี้ก็เลยต้องทำบุญเพื่อสร้างความสบายใจให้กับตัวเอง แม้แต่เดินทางไปไหนเห็นศาลพระภูมิบ้านใครก็จะยกมือไหว้ มันเป็นความรู้สึกที่อยากจะไหว้ เช่นเดียวกับบาปกรรม ที่เราทำอะไรไว้ไม่ดีมันก็ต้องตามสนองคนทำนั้นไม่ช้าก็เร็ว" นี่เป็นความเชื่อของหนุ่มโบวี่
นอกจากนี้ นักร้องหนุ่มคนนี้ยังชอบฟังการสวดภาณยักษ์ ที่มีประชาชนมาร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก เป็นเรื่องที่ดีเราได้เห็นอะไรที่แปลกใหม่ ได้เห็นผู้คนมาร่วมตัวในพิธีเป็นจำนวนมาก การไปร่วมในพิธีอย่างน้อยก็เป็นการสร้างความสบายใจให้กับตัวเอง ส่วนชีวิตประจำวันก่อนนอนจะต้องสวดมนต์ไหว้พระ เพื่อสร้างความสบายใจให้กับตัวเอง แต่ในบางครั้งอ่อนเพลียจากการทำงานก็จะไหว้พระในใจ ซึ่งก็สร้างความอุ่นใจให้หลับสบายได้เหมือนกัน
"ชีวิตกับการทำบุญก็จะทำประมาณ ๒-๓ เดือนต่อครั้ง ใครว่าอะไรก็จะทำให้กับตัวเอง เช่น เขาว่าทำบุญปิดทองฝังลูกนิมิต ๙ วัด พร้อมกับซื้อสังฆทานไปถวายพระตามวัดต่างๆ ด้วย และทุกอย่างที่ทำบุญวันนี้เพื่อความสบายใจ หากเป็นไปได้ขอให้พบสิ่งที่ตอบกลับมาขอให้เป็นเรื่องดีๆ ก็พอแล้ว" นักร้องหนุ่ม กล่าวทิ้งท้าย